รถยนต์ก็เหมือนร่างกายคนครับ ใช้ไปนานๆ ก็ต้องมีเจ็บป่วย ต้องเข้าอู่เช็กระยะ หรือบางครั้งก็เกิดอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ แต่ปัญหาคือ “ค่าซ่อม” นี่สิครับ ที่มักจะมาแบบกะทันหันและมักจะ “แพง” กว่าที่เราคิดเสมอ การหา “สินเชื่อ ซ่อมรถยนต์” จึงกลายเป็นทางออกที่หลายคนค้นหา บทความนี้จะมาเจาะลึกว่า เมื่อรถต้องซ่อม แต่เงินสดไม่พอ เรามีทางเลือกทางการเงินอะไรบ้าง? และ “สินเชื่อซ่อมรถยนต์” ที่แท้จริงแล้วคืออะไรกันแน่

 

สินเชื่อซ่อมรถยนต์ 2568: รวม 3 วิธีหาเงินก้อนจ่ายค่าซ่อมรถ

“รถเสียกะทันหัน” คือฝันร้ายของคนใช้รถ โดยเฉพาะเมื่ออู่หรือศูนย์บริการประเมินค่าใช้จ่ายออกมาแล้วสูงหลักหมื่นหรือหลักแสนบาท หลายคนอาจเข้าใจว่าต้องมี “สินเชื่อเพื่อซ่อมรถ” โดยเฉพาะ

แต่ในความเป็นจริง สถาบันการเงินส่วนใหญ่ “ไม่มี” ผลิตภัณฑ์ที่ชื่อว่า “สินเชื่อซ่อมรถยนต์” โดยตรงครับ แต่เราจะใช้ “สินเชื่อประเภทอื่น” เพื่อนำเงินสดก้อนนั้นมาจ่ายค่าซ่อมรถแทน ซึ่ง 3 ประเภทสินเชื่อที่คนนิยมใช้มากที่สุด มีดังนี้ครับ

 

1. สินเชื่อรถแลกเงิน (Car for Cash)

นี่คือทางเลือกที่ “ตรงจุด” และ “สมเหตุสมผล” ที่สุดสำหรับคนมีรถที่ต้องการเงินไปซ่อมรถครับ

  • คืออะไร: คือการนำ “รถยนต์” คันที่เราเป็นเจ้าของ (ที่ผ่อนหมดแล้ว) ไปเป็นหลักประกันเพื่อขอเงินก้อน หรือที่เราเรียกว่า “จำนำทะเบียนรถ” นั่นเอง
  • ทำไมถึงเหมาะ:
    • อนุมัติง่ายกว่า: เพราะมีตัวรถเป็นหลักประกัน สถาบันการเงินจึงมีความเสี่ยงต่ำกว่าการปล่อยกู้แบบไม่มีประกัน
    • วงเงินสูง: มักได้วงเงินตามราคาประเมินของรถ ซึ่งส่วนใหญ่ “เพียงพอ” ต่อค่าซ่อม แม้จะเป็นการซ่อมหนัก (Overhaul)
    • ดอกเบี้ยดีกว่า: อัตราดอกเบี้ยมักจะ “ต่ำกว่า” สินเชื่อส่วนบุคคลหรือบัตรกดเงินสดอย่างชัดเจน
    • ยังมีรถใช้ (หลังซ่อม): สินเชื่อประเภทนี้ “ไม่ต้องจอดรถ” คุณแค่เอาเล่มทะเบียนไปฝากไว้ เมื่อซ่อมรถเสร็จ คุณก็ยังได้รถกลับมาขับขี่ทำมาหากินได้ตามปกติ
  • ข้อควรพิจารณา: รถต้องปลอดภาระแล้ว (ผ่อนหมดแล้ว)

 

2. สินเชื่อส่วนบุคคล (Personal Loan)

หากคุณไม่มีรถที่ปลอดภาระ หรือไม่อยากยุ่งกับเล่มทะเบียน “สินเชื่อส่วนบุคคล” คือทางเลือกถัดมา

  • คืออะไร: คือสินเชื่อเงินก้อนอเนกประสงค์ ที่สถาบันการเงินอนุมัติให้โดยดูจาก “รายได้” และ “ประวัติเครดิตบูโร” ของเราเป็นหลัก (ไม่ต้องใช้หลักประกัน)
  • ทำไมถึงเหมาะ:
    • ได้เงินก้อนมาบริหารเอง สามารถนำไปจ่ายค่าซ่อมรถได้ทันที
    • ไม่ต้องใช้รถหรือบ้านมาค้ำประกัน
  • ข้อควรพิจารณา:
    • อนุมัติยากกว่า: ต้องมีสลิปเงินเดือน, มีฐานเงินเดือนขั้นต่ำ (เช่น 15,000 หรือ 20,000 บาทขึ้นไป) และต้องมีประวัติเครดิตบูโรดี (ไม่ติดแบล็กลิสต์)
    • อัตราดอกเบี้ยสูง: เนื่องจากเป็นสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน ดอกเบี้ยจึงสูงกว่ารถแลกเงิน (สูงสุดไม่เกิน 25% ต่อปี)
    • ใช้เวลาอนุมัติ: อาจใช้เวลา 1-3 วันทำการ ซึ่งอาจไม่ทันการณ์หากต้องจ่ายค่าซ่อม “ทันที”

 

3. บัตรกดเงินสด (Cash Card) หรือ การผ่อนชำระผ่านบัตรเครดิต

นี่คือทางเลือกสำหรับ “ค่าซ่อมที่ไม่สูงมาก” หรือ “ค่าซ่อมฉุกเฉิน” ที่ต้องการความเร็วที่สุด

  • คืออะไร:
    • บัตรกดเงินสด: ถ้าคุณมีบัตรกดเงินสดอยู่แล้ว สามารถกดเงินสดจากตู้ ATM ไปจ่ายค่าซ่อมได้ทันที
    • บัตรเครดิต (ผ่อน 0%): ศูนย์บริการหรืออู่ซ่อมรถสมัยใหม่หลายแห่ง (เช่น B-Quik, Cockpit) มักมีโปรโมชั่น “ผ่อน 0% 10 เดือน” กับบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ
  • ทำไมถึงเหมาะ:
    • ทางเลือกแรกที่ควรเช็ก: ก่อนกู้เงินก้อน ควรสอบถามอู่หรือศูนย์บริการก่อนว่า “รับบัตรเครดิต” หรือ “มีโปรผ่อน 0%” หรือไม่ ถ้ามี นี่คือวิธีที่ “ดีที่สุด” เพราะคุณไม่ต้องเสียดอกเบี้ย
    • เร็วที่สุด: ถ้าอู่รับบัตร หรือคุณมีบัตรกดเงินสด คุณสามารถแก้ปัญหาได้ทันที
  • ข้อควรพิจารณา:
    • บัตรกดเงินสด: มีอัตราดอกเบี้ยที่ “สูงที่สุด” (สูงสุด 25% ต่อปี) เหมาะกับการใช้ระยะสั้นจริงๆ
    • การผ่อนบัตรเครดิต: คุณต้องมีวงเงินในบัตรเครดิตเพียงพอต่อค่าซ่อม

 

ตารางเปรียบเทียบ 3 สินเชื่อสำหรับซ่อมรถยนต์

ประเภทสินเชื่อ หลักประกัน ความเร็ว อัตราดอกเบี้ย ใครเหมาะ
สินเชื่อรถแลกเงิน ใช้เล่มทะเบียน 1-2 วัน ต่ำ-ปานกลาง คนมีรถปลอดภาระ, ต้องการวงเงินสูง, ผ่อนยาว
สินเชื่อส่วนบุคคล ไม่ต้องใช้ 1-3 วัน ปานกลาง-สูง พนักงานประจำ, เครดิตดี, ไม่มีหลักประกัน
บัตรกดเงินสด / บัตรเครดิต ไม่ต้องใช้ ทันที สูง (ยกเว้น 0%) ต้องการความเร็ว, ค่าซ่อมไม่สูง, อู่รับบัตร

 

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q1: ติดเครดิตบูโร (ติดแบล็กลิสต์) ขอกู้เงินซ่อมรถได้ไหม? A: “ยากมากครับ” หากเป็นการขอ “สินเชื่อส่วนบุคคล” หรือ “บัตรกดเงินสด” สถาบันการเงินในระบบจะไม่อนุมัติ แต่หากเป็น “สินเชื่อรถแลกเงิน” บางสถาบันการเงิน (Non-Bank) อาจมีความยืดหยุ่นในการพิจารณามากกว่า หากมูลค่ารถของคุณสูงเพียงพอ และประวัติการติดบูโรนั้นไม่ได้ร้ายแรง (เช่น ปิดบัญชีไปแล้ว)

Q2: ไม่มีสลิปเงินเดือน (ค้าขาย/ฟรีแลนซ์) กู้ซ่อมรถได้ไหม? A: “ได้ครับ” หากคุณเลือกใช้ “สินเชื่อรถแลกเงิน” เพราะสถาบันการเงินจะเน้นดู “มูลค่ารถ” เป็นหลัก และคุณสามารถใช้เอกสารอื่นแทนสลิปเงินเดือนได้ เช่น รายการเดินบัญชีย้อนหลัง (Statement), รูปถ่ายหน้าร้าน, หรือบิลซื้อ-ขายของ

Q3: รถเก่ามาก (15-20 ปี) ยังเอามาขอ “สินเชื่อรถแลกเงิน” เพื่อซ่อมได้ไหม? A: “ยังพอทำได้ครับ” มีผู้ให้บริการสินเชื่อ (โดยเฉพาะ Non-Bank) หลายแห่งที่รับรถยนต์อายุ 15-20 ปี แต่ต้องเป็นรุ่นที่ตลาดนิยม (เช่น Toyota, Isuzu) วงเงินที่ได้อาจจะไม่สูงนัก แต่ก็น่าจะเพียงพอสำหรับค่าซ่อมทั่วไปครับ

 

วางแผนก่อนซ่อม

เมื่อรถเสียและค่าซ่อมสูง อย่าเพิ่งตกใจ ให้ตั้งสติและตรวจสอบทางเลือกทางการเงินของคุณ

  1. ถามอู่ก่อน: “รับบัตรเครดิตไหม? มีผ่อน 0% หรือไม่?” (นี่คือวิธีที่ดีที่สุด)
  2. หากไม่มี: ถ้าคุณมี “รถที่ปลอดภาระ” ให้มอง “สินเชื่อรถแลกเงิน” เป็นอันดับแรก เพราะอนุมัติง่ายกว่าและดอกเบี้ยดีกว่า
  3. ถ้าไม่มีรถปลอดภาระ: และคุณมี “เครดิตดี” ให้มอง “สินเชื่อส่วนบุคคล” เป็นลำดับถัดไป

การเลือกสินเชื่อที่เหมาะสมกับสถานการณ์ จะช่วยให้คุณผ่านวิกฤตค่าซ่อมรถครั้งนี้ไปได้ โดยไม่สร้างภาระทางการเงินที่หนักเกินไปในอนาคตครับ

 

อ่านบทความเพิ่มเติมได้ ที่นี่

ข้อมูลเว็บสินเชื่อรถยนต์จากธนาคารแห่งประเทศไทย

Categories: blog

0 Comments

Leave a Reply

Avatar placeholder

Your email address will not be published. Required fields are marked *